“โคมลอย” ในแง่โคมที่ลอยฟ้านั้น พบใน หนังสืออักขราภิธานศรับท์ Dictionary of the Siamese Language by Dr.B.Bradley Bangkok 1873 หรือพจนานุกรมภาษาสยามที่ ดร.แดน บีช แบรดเลย์ จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖
โดยกล่าวว่า “โคมลอย, คือประทีปเครื่องสำหรับจุดไฟในนั้นให้สว่าง, แล้วควันไฟก็กลุ้ม อบ อยู่ในนั้น, ภาโคมให้ลอยขึ้นไปได้,บนอากาศ.”(น.๑๐๕)
คำอธิบายดังกล่าวนี้สอดคล้องกับพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ที่ว่า “ โคมลอย น. ชื่อเครื่องตามไฟชนิดหนึ่งที่จุดไฟแล้วปล่อยให้ลอยไปในอากาศ.”
[แก้ไข] โคมลอย....น้ำ[Image] แต่เดิมนั้นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะมีพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ กระทำเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนาก็ทำพิธี ยกโคม เพื่อบูชา พระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย
สำหรับการลอยกระทงตามสายน้ำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกตามหลักฐานที่บันทึกเอาไว้ว่า นางนพมาศ ซึ่งเป็นสนมเอกของพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัยได้คิดทำกระทงรูปดอกบัวและรูปต่าง ๆ ถวาย พระร่วง ทรงให้ลอยกระทงตามสายน้ำไหลใน หนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระร่วงตรัสว่า "แต่นี่สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนด นักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชา พระพุทธบาทนัมฆทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ครั้นถึง สมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงามมีการประกวดประขันกัน
ลอยโคมลงน้ำ และการ ลอยพระประทีป ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ถือเป็นประเพณีสำคัญประจำเดือนสิบสอง (ประมาณเดือนพฤศจิกายน) ในยุค กรุงรัตน-โกสินทร์ตอนต้น ในเดือนนี้จะมีงานประเพณีที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจัดขึ้น 3 งาน ดังนี้
[แก้ไข] พระราชพิธีจองเปรียง ลดชุด ลอยโคมลงน้ำ เป็นพิธีถวายประทีปบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และต่อมาได้ถือเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุจุฬามณีและรอบพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธด้วย ซึ่งจะกำหนดยกโคมขึ้นยอดเสาในเดือน ๑๒ (ประมาณเดือนพฤศจิกายน) เป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน
[แก้ไข] การลอยพระประทีป เป็นประเพณีลอยกระทงในพระราชสำนักจัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองประมาณเดือนพฤศจิกายน) โดยพระเจ้าแผ่นดินจะทรงพระภูษาขาวและทรงธรรมในพระบรมมหาราชวัง ทรงบูชาดอกไม้พุ่มที่หน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และหอพระในพระบรมมหาราชวัง แล้วจึงเสด็จออกที่แพลอย ท่าราชวรดิษฐ์
[แก้ไข] การ ลอยกระทง เป็นประเพณีของราษฎรโดยทั่วไป มีแนวคิดและขั้นตอนเช่นเดียวกันกับการ ลอยพระประทีป แต่มีความเรียบง่ายและลดรายละเอียดของแบบแผนพระราชพิธีโบราณลง เพื่อให้เป็นไปตามฐานะทางสังคมของแต่ละบุคคล จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เช่นเดียวกัน กระทงที่จะใช้ลอยสามารถประดิษฐ์เป็นรูปต่างๆ ได้ตามต้องการ เช่น รูปดอกบัวบาน หงส์ เจดีย์ ภูเขา ฯลฯ ซึ่งจะบรรจุดอกไม้ ธูปเทียน แล้วลอยลงน้ำถวายเป็นพุทธบูชา มีการเล่นดอกไม้เพลิง ดอกไม้น้ำ ออกร้าน และมหรสพต่างๆ เช่นเดียวกับการลอยพระประทีป
ใน สมัยสุโขทัย เดิมมีความเชื่อกันว่า ประชาชน นิยมจัดประเพณีลอยโคม ถือเป็นประเพณีที่ให้ความสนุกสนาน ตาม แม่น้ำทั่วไปเห็นแสงไฟระยิบระยับอยู่ทั่วไปยามราตรี พระร่วงเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสุโขทัย ได้เสด็จประพาสตามลำน้ำเพื่อทอดพระเนตรประเพณีดังกล่าว โดยมีอัครมเหสีและพระสนมฝ่ายในตามเสด็จมากมาย เมื่อนางนพมาศได้เข้ารับราชการในราชสำนักมียศเป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ จึงได้คิดทำกระทงเป็นรูปดอกบัว เพื่อหวังจะเป็นเครื่องสักการะบูชารอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมทานที ตามที่เชื่อกันมา ดังข้อความที่ปรากฏในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำรับทางนพมาศ ได้กล่าวว่า "พอถึงพระราชพิธีจองเปรียงในวันเพ็ญเดือน 12 เป็นวันนักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคม บรรดาประชาชนชายหญิงต่างตกแต่งโคม ชักโคม แขวนโคม ลอยโคมทุกตระกูลทั่วทั้งพระนคร"
สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการจัดพระราชพิธี "จองเปรียงลดชุดลอยโคม" ดังระบุไว้ใน นิราศธารโศก ของ เจ้าฟ้ากุ้ง ว่า...
เดือนสิบสองถ่องแถวโคม แสงสว่างโพยมโสมนัสสา
เรืองรุ่งกรุงอยุธยา วันทาแล้วไปเห็น
ส่วนจดหมายเหตุราชทูตลังกาที่เข้ามาในสมัย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็ได้ระบุในราชพิธีดังกล่าว ความว่า " ก่อนอรุณ มีข้าราชการไทยสองคนลงมาบอกราชทูตานุทูตว่า ในค่ำวันนั้นได้มี กระบวนแห่เสด็จพระราชดำเนินทางชลมาคร ในการพระราชพิธีฝ่ายศาสนา กระบวนเสด็จผ่านที่พักราชทูตมากระบวนพิธีที่ทูตานุทูตได้เป็นมีดังนี้ คือ ตามบรรดาริมน้ำทั้งสองฟากทุกวัด ต่างปักไม้ไผ่ลำยาวขึ้นเป็น เสาโนม์ ปลายไม้ลงมาผูกเชือกชักโคมต่างๆ ครั้นได้เวลาพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จโดยกระบวน พร้อมด้วยกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และเจ้าพระมหาอุปราช เรือทีเสด็จล้วนปิดทองมีกันยาดาดสี และผูกม่านในลำเรือปักเชิงทอง เงิน มีเทียนจุดตลอดลำ มีเรือข้าราชการ ล้วนแต่แต่งประทีปแห่นำตามเสด็จด้วยเป็นอันมาก ในพระราชพิธีนี้ยังมีโคมกระดาษทำเป็นรูปดอกบัวสีแดงบ้างสีขาวบ้าง มีเทียนจุดอยู่ในนั้น ปล่อยลอยตามลำน้ำลงมาเป็นอันมาก และมีรำบำดนตรีเล่นมาในเรือนั้นด้วย "
สมัย กรุงรัตนโกสินทร์ พิธีนี้ยังคงนิยมทำกันเป็นการใหญ่ มีหลักฐานปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่ง เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) กล่าวไว้ว่า "ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่ง พิธีจองเปรียงนั้นเดิมได้โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมากทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง เป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 - 11 ศอก ทำประกวดประชันกันต่าง ๆ กัน ฯ "
การทำกระทงใหญ่ในลักษณะดังกล่าวมานี้ น่าจะมีมาตั้งแต่ รัชกาลที่ 1 จนถึง รัชกาลที่ 3 ครั้นมาถึง รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกเสีย และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยพระประทีปแทนกระทงใหญ่ถวายองค์ละลำ เรียกว่า " เรือลอยพระประทีป " ต่อมา รัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นอีก ในปัจจุบันนี้การลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำ เป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย แต่พิธีของชาวบ้านยังทำกันอยู่เป็น ประจำ
[แก้ไข] โคมลอย....ฟ้า[Image] เป็นโคมที่มีรูปทรงต่าง ๆ ทำจากวัสดุ เช่น กระดาษ ผ้า (ยกเว้นวัสดุสังเคราะห์ เช่น โฟม หรือพลาสติก) อาจตกแต่งลวดลายโดยการตัดแปะด้วยสัสดุอื่น เช่นกระดาษบาง ๆ หรือแต่งสี มีไส้หรือเชื้อเพลิงอยู่ด้านล่าง ใช้สำหรับจุดไฟเพื่อให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อจุดไส้หรือเชื้อเพลิงแล้วโคมจะลอยได้
ชาวบ้านที่นับถือพระพุทธศนา พอถึงเทศกาลวันเพ็ญเดือนสิบสอง ชาวบ้านจะทำโคมลอยไปถวายวัดแล้วจุดเป็นพุทธบูชา หรือบูชา พระเกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ใน พระราชพิธีสิบสองเดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อปีชวด พ.ศ. 2431 นั้น มีข้อความส่วนที่ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์อธิบายศัพท์แผลงว่า
“โคมลอย” มีความหมายเดียวกับ “โพยมยาน” และโพยมยาน แปลมาจาก air ship คือยานที่ลอยไปในอากาศได้โดยใช้อากาศร้อนหรือแก๊สที่เบากว่าอากาศยกเอายานนั้นลอยไปได้ แต่เมื่อเทียบกับคำแปลของ หมอแบรดเลย์ แล้ว “โพยมยาน”ในที่นี้น่าจะหมายถึง balloon มากกว่า ยิ่งในคำอธิบายในหน้า ๖๔๓ ที่ว่า “โคมลอย” ในที่นี้ “…มาแต่หนังสือพิมพ์ตลกของอังกฤษที่ชื่อว่า ฟัน (Fun-ผู้เขียน) ที่ใช้รูปโคมลอยอยู่หลังใบปก หนังสือพิมพ์นั้นเล่นตลกเหลวไหลไม่ขบขันเหมือนหนังสือพิมพ์ตลกอย่างอื่น คือ ปันช เป็นต้น จึงเกิดคำติกัน เมื่อใครเห็นเล่นตลกไม่ขบขัน จึงว่าราวกับหนังสือพิมพ์ฟัน บ้างว่าเป็นโคมลอย (เครื่องหมายของหนังสือนั้น) บ้างจะพูดให้สั้นจึงคงไว้แต่”โคม”…” จากประเด็นดังกล่าวนี้ “โคมลอย”ตามนัยของพระราชพิธี ๑๒ เดือน กับนัยของหนังสืออักขราภิธานศรัพท์แม้จะดูเหมือนว่าไม่ตรงกัน แต่ก็พอจะอธิบายให้เห็นได้ว่าเป็นวัตถุทรงกลมที่อาศัยความร้อนที่กักไว้ภายในพยุงให้ลอยไปในอากาศได้
โคมลอยฟ้าจะลอยกันในตอนกลางคืน เรียกว่าการปล่อยโคม ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
โคมไฟ หรือ “ว่าวไฟ” เป็นการจุดไฟไว้ในโคม พอจุดไฟก็เกิดเป็นความร้อน ทำให้อากาศลอยตัวสูงขึ้น โคมก็จะลอยสู่ท้องฟ้า โคมลม อันนี้จะใช้ควันอันเข้าไป ให้โคมลอยขึ้นสูง ชาวบ้านจะมาช่วยกันทำโคมและต่างคนต่างปล่อย จำนวนโคมที่ลอยขึ้นฟ้าก็มีไม่มากเท่าทุกวันนี้ซึ่งมีการเชิญชวนกันมาก ๆ เข้า ที่เรียก “ว่าวไฟ” ว่าเป็น ”โคมลอย” นั้นเรียกมาแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารไทยมาประจำการในล้านนาทางภาคเหนือ พอเห็น “ว่าวฅวัน” หรือ “ว่าวไฟ” ลอยขึ้นฟ้า ก็เรียกว่าสิ่งนั้นคือ ”โคมลอย”
การลอยโคม ของชาวล้านนาทางภาคเหนือ ถือเป็นการบูชาองค์พระธาตุจุฬามณี ที่อยู่บนสรวงสวรรค์อีกด้วย ส่วนการลอยกระทงในน้ำนั้น ได้รับอิทธิพลจากสุโขทัย โดยวัฒนธรรมการลอยกระทง เพื่อบูชา พระแม่คงคา ตามความเชื่อของคนไทยภาคกลาง
สรุป ได้ว่า โคมลอย ก็คือกระทงทรงประทีป หรือกระทงที่รองรับประทีปซึ่งจุดไฟแล้วปล่อยให้ลอยไปตามสายน้ำ เมื่อดูจาก พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์โดยแพร่พิทยา ฉบับที่พิมพ์ครั้งที่สิบสาม พ.ศ. ๒๕๑๔ ทรงกล่าวว่า “.. การที่ยกโคมขึ้นนั้นตามคำโบราณกล่าวว่ายกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม การซึ่งว่าบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนี้เป็นต้นตำราแท้ในเวลาถือไสยศาสตร์ แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนาก็กล่าวว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในดาวดึงส์พิภพ และบูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่ ณ หาดทรายเรียกว่า นะมะทานที เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่..” (น.๙) ก็เป็นอันว่า “โคมลอย” ของนางนพมาศนั้นลอยน้ำ แต่ ”โคมลอย” ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นั้น ลอยฟ้า และ “โคมลอย” ของภาคกลางนั้นทำได้ทั้งลอยฟ้าและลอยน้ำ โดยจุดประทีปโคมไฟให้ลอยไปตามน้ำเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทในนาคพิภพ และยกโคมขึ้นให้สูงเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น